วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

สันติสุขเพื่อประชาชาติมุสลิม

มิมบัรออนไลน์
คุตบะห์วันอีดิ้ลฟิตริ 1 เซาวาล 1431 (วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553)
สันติสุขเพื่อประชาชาติมุสลิม

الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ

الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย
“ตะกับบั้ลลอฮุมินนาว่ามิงกุ้ม”
ความอิ่มเอบในใบหน้าของท่านทั้งหลายในวันนี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะที่เราได้ร่วมต่อสู้กันมาในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เป็นชัยชนะที่เริ่มต้นจากการตอบรับและสนองการใช้และข้อห้ามจากพระองค์ เป็นชัยชนะที่ผู้ที่มีความยำเกรงต่อพระองค์ จะได้เรียนรู้และตระหนักต่อกาดำเนินชีวิตที่เรานั้นจะเย่อหยิ่ง อวดดี หรือโอ้อวดศักดาให้กับใครทั้งนั้น ชัยชนะที่สำคัญที่สุด คือ ชัยชนะที่เราทั้งหลายต่างชนะจิตใจตนเอง เพราะในช่วงเวลาปกติ อาหารอันโอชะซึ่งเป็นที่อนุมัติของพระองค์ เราสามารถรับประทานได้อย่างอิ่มหมีพีมัน ไม่ต้องใส่ใจว่าจะมีใครบ้างไหมที่ยังอดอยากหิวโซ รอคอยโอกาสที่จะได้รับและแบ่งปันความสุขจากผู้ที่มีกำลังทรัพย์ที่จะหยิบยื่นมาให้ ขณะที่การดำเนินชีวิตในเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา เราต้องยับยั้งชั่งใจไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่า อาหารที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นแม้จะเป็นที่อนุมัติแต่ข้อบังคับของกฎ กติกา แห่งพระองค์แล้ว เรื่องของระยะเวลา และข้อกำหนดแห่งการปฏิบัติตนในเดือนรอมฎอน ทำให้เราต้องคิดและพิจารณาถึงคุณค่าความสำคัญของอาหารเหล่านั้น หากเราได้แบ่งปันให้กับคนที่ไร้โอกาสแล้ว เขาเหล่านั้นย่อมได้รับความสุขเฉกเช่นความสุขที่เราได้รับจากการบริโภคอาหารเหล่านั้นในยามปกติ
لآالآه الالله والله اكبر الله اكبر ولله الحمد الله اكبر الله اكبر الله اكبر
ท่านทั้งหลาย
หากเราจะย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของเราก่อนที่จะเข้าเดือนรอมฎอน แล้ว จะเห็นว่า การเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในเดือนรอมฎอนนั้น เป็นวาระเร่งด่วน การวางแผนการดำเนินชีวิต การปรับเปลี่ยนช่วงเวลาต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา ตลอดจนการวางแผนชีวิตเพื่อต้อนรับรอมฎอน การประกอบอามั้ลอิบาดัรสำคัญในแต่ละเรื่อง รวมไปถึงการเตรียมตัวสำหรับช่วง 10 วันสุดท้ายของรอมฎอน การละหมาดตะรอวีย์ จนกระทั่งการเตรียมซะกาตฟิตเราะห์ ทั้งหมด คือช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปก่อนที่จะถึงวันนี้ และเมื่อผ่านพ้นวันนี้ไปแล้ว สำหรับบางท่านในที่นี้ อาจสมัครใจที่ถือศีลอดอาสาในช่วง 6 วัน แห่งเดือนเซาวาล นี้ โดยไม่จำเป็นว่าต้องถือศีลอดติดต่อกันทั้ง 6 วัน นั้นก็ได้ ทั้งหมดนี้ ผลแห่งการกระทำของเรานั้น พระองค์ทรงรับรองและให้ความเมตตาแก่เรา ทั้งนี้ ผลแห่งการปฏิบัติตนดังกล่าวแล้วนั้น เราได้ฝึกฝนตนเอง ขัดเกลาจิตใจ และเกิดสำนึกแห่งความยำเกรงต่อพระองค์ เช่นนี้ แน่นอนว่าการถือศีลอดของเรานั้น พระองค์ทรงรับรอง และแน่นอนว่า พระองค์จะทรงให้แก่เราตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้เป็นแน่แท้ ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดแห่งภารกิจการถือศีลอดนั่นคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงรองรับและเปิดโอกาสซึ่งความใกล้ชิดกับพระองค์ในวันแห่งการตอบแทน
لآالآه الالله والله اكبر الله اكبر ولله الحمد الله اكبر الله اكبر الله اكبر
ท่านทั้งหลาย
จากที่เราทราบกันดีว่าในเดือนรอมฎอน บรรดากลุ่มของญิบลีสนั้น จะถูกล่ามโซ่ ไม่ให้ชี้นำการกระทำของพวกเราได้ แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการถือศีลอดแล้ว พวกเหล่านั้นจะกลับมาและปฏิบัติการต่อมวลมนุษย์เช่นเดียวกับที่ได้ปฏิบัติมาแล้วตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้ ขอให้เราทั้งหลายต้องฉุกคิดให้ได้ว่า ชัยชนะที่เราได้รับจากรอมฎอน ซึ่งเป็นการชนะจิตใจของตนเองแล้วนั้น ปัจจัยอันหนึ่งคือ การรบเร้าให้กระทำการนอกเหนือจากกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้นั้น แน่แท้ถูกจองจำจากพระองค์ อำนาจการกระทำของเราในช่วงเดือนนี้ ถูกกำหนดบทบาทและการแสดงออกทั้งกายวาจาและใจ ด้วยตัวเราเองแทบทั้งสิ้น และในวันนี้เราได้ประกาศชัยชนะเหนือบรรดาชัยตอนมารร้ายเหล่านี้แล้ว จึงเป็นที่ประจักษ์ได้ว่า การดำเนินชีวิตของเราต่อจากนี้ไป จะเป็นเครื่องพิสูจน์ที่สำคัญของเราได้ว่า การกระทำการใดๆของเรานั้น เราสามารถกำหนดตัวเราเองตามแนวทางแห่งทางนำของพระองค์ มากกว่าเสียงกระซิบจากบรรดากลุ่มของญิบลีส ที่คอยปุกเร้าจิตใจของเราให้ออกไปจากแนวทางอันเที่ยงตรงจากพระองค์
لآالآه الالله والله اكبر الله اكبر ولله الحمد الله اكبر الله اكبر الله اكبر
ท่านทั้งหลาย
ในวันนี้ เราทั้งหลายต่างตระหนักร่วมกันแล้วว่า เพื่อนบ้านของเราไม่มีใครมีความทุกข์ อันเนื่องจากว่า ก่อนการละหมาดอีดิ้ลฟิตริ พวกเราทั้งหลายต่างก็ได้บริจาดซะกาตฟิตเราะห์ให้กับบุคคลที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับซะกาตเหล่านั้น แต่หลังจากเดือนนี้เป็นต้นไป เรายังจะตอบคำถามของพวกเขาเหล่านั้นได้หรือไม่ว่า พวกเขาจะถูกทอดทิ้งจากเราทั้งหลายหรือไม่ อาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาแห่งเดือนรอมฎอนนั้น ทุกๆ คนคาดหวังว่าจะช่วยเหลือและแบ่งปันทั้งอาหาร และความสุขให้กับเขาทั้งหลาย แต่ช่วงเวลาหลังจากนี้ พวกเราจะละทิ้งโอกาสเหล่านี้สำหรับพวกเขาหรือไม่ การแบ่งปันกันในเดือนรอมฎอน อาจเนื่องมาจากทุกๆ คนนั้น มุ่งแสวงหาความโปรดปราณจากพระองค์ และผลที่ได้รับจากพระองค์ในช่วงตลอดรอมฎอนนั้น ทวีคูณหลายเท่าจากเดือนอื่นๆ และการแบ่งปันกันนอกเดือนรอมฎอนนั้น กลับปรากฏว่าเกิดขึ้นในปริมาณที่น้อยกว่าในช่วงรอมฎอน นั่นเป็นภาพที่ฟ้องให้เห็นได้ว่า สิทธิของพวกเขาเหล่านั้น ถูกรอนสิทธิจากผู้ที่มีความสามารถ ขอให้พิจารณาจากโองการจากอัลกุรอ่านซูเราะห์อาลิอิมรอน Al-Qur'an, 003.092 (Aal-E-Imran [The Family of Imran]) ความว่า
003.092 لَنْ تَنَالُوا الْبِرَّ حَتَّى تُنْفِقُوا مِمَّا تُحِبُّونَ وَمَا تُنْفِقُوا مِنْ شَيْءٍ فَإِنَّ اللَّهَ بِهِ عَلِيمٌ
003.092 By no means shall ye attain righteousness unless ye give (freely) of that which ye love; and whatever ye give, of a truth Allah knoweth it well.
92. พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลยจนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้าชอบ และสิ่งใดที่พวกเจ้าบริจาคไป แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้ในสิ่งนั้นดี
ดังนั้น จึงขอให้เราทั้งหลายในที่นี้ จงพิจารณาการแบ่งปันให้กับพวกเขาในช่วงเดือนอื่นๆ ด้วย อนึ่ง ขอให้พิจารณาถึงการสร้างโอกาสให้พวกเขาได้ใช้ความสามารถของตนเองเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปพร้อมกับการที่จะรอคอยการแบ่งปันจากคนที่มีความสามารถด้วย อาจกล่าวได้ว่า “ทำอย่างไรที่เราจะเปลี่ยนพวกเขาจากกลุ่มมือล่างให้กลายเป็นกลุ่มมือบนบ้าง” ตรงนี้ถือว่าเป็นภารกิจที่สำคัญเช่นกัน เพราะในการปฏิบัติศาสนกิจและการประกอบอิบาดัรโดยเฉพาะการบริจาคซ่ากาตนั้น เราสามารถปรับปรุงสังคมโดยการปรับเปลี่ยนคนที่ขาดแคลนให้สามารถมีกินได้ด้วยตนเองหรือด้วยความสามารถของตนเองเป็นต้นว่า เขามีโอกาสใช้แรงกาย พลกำลังสร้างมูลค่าเพิ่มจนสามารถประกอบอาชีพที่สุจริต หาเลี้ยงครอบครัว และมีเหลือเพียงพอสำหรับการบริจาคแบ่งปันให้กับคนอื่นๆได้ นั้น มีคุณค่ามากกว่าการที่เราจะมีหน้าที่ที่จะคอยดูแลและแบ่งปันให้กับเขาตลอดไป โดยที่พวกเขาเหล่านั้นเป็นแต่เพียงมือล่างที่รอคอยการแบ่งปันจากคนส่วนใหญ่ของสังคมอยู่ตลอดไป อย่างหลังนี้ ถือว่า การให้หรือการแบ่งปันนั้น ไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคม เพราะสังคมนั้น จะมีทั้งคนที่เป็นมือบน และมือล่างที่คอยส่งเสียเลี้ยงดูกันอยู่ตลอดเวลา หาใช่ว่าเราทั้งหลายจะช่วยกันพัฒนาสังคม ปรับปรุงสังคมโดยมุ่งมั่นพัฒนาคนมือล่างให้เปลี่ยนไปเป็นคนมือบนบ้าง ซึ่งจะเกิดการพัฒนาและกระตุ้นสังคมให้เกิดความจำเริญทางเศรษฐกิจต่อไป ดังนั้น จึงขอฝากในเรื่องนี้ให้เราทั้งหลาย จงช่วยกัน ร่วมกัน แบ่งปัน พัฒนาและปรับปรุง เพื่อที่สังคมเราจะอยู่ดีมีสุข และร่วมแรงกันพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง
لآالآه الالله والله اكبر الله اكبر ولله الحمد الله اكبر الله اكبر الله اكبر
ท่านทั้งหลาย
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2543 เหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ สหรัฐอเมริกา มีผู้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก จนถึงปัจจุบันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและเกิดความสูญเสียตามมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเหตุการณ์ที่อัพกานิสถาน ปาเลสไตน์ และอิรัค เป็นความสูญเสีย อันใหญ่หลวงต่อประชาชาติทั้งหลายในโลกแห่งนี้ เป็นการรุกรานของมหาอำนาจอันเลวร้ายและร้ายแรงกว่าการก้าวล่วงสิทธิมนุษยชนอันเป็นคำประกาศของสหประชาชาติ แม้ว่าเหตุการณ์เมื่อ 11 กันยายน 2543 จะจบลงไปนานแล้ว แต่ทุกอย่างยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มมุสลิมกลุ่มหนึ่ง ที่ปฏิบัติการสละชีพไปพร้อมกับการทำลายตึกดังกล่าว ด้วยจิตใจที่เต็มเหนี่ยวแห่งพลังศรัทธาทางศาสนาอิสลาม แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าว ในปัจจุบันถูกตั้งข้อสังเกตอย่างมากมาย ในทำนองว่ามุสลิมคือผู้ก่อการร้ายในสายตาของสื่อสารมวลชนตะวันตก (ยิวและคริสเตียน) ซึ่งสื่อสารมวลชนของไทยก็พลอยรับอานิสงค์ในเรื่องนี้ด้วยกับเหตุการณ์ชายแดนใต้ของประเทศไทย ความรุนแรงที่เกิดขึ้น หาใช่ว่าเป็นความรุนแรงของพลังศรัทธาอันแรงกล้าของมุสลิมไม่ หากแต่ว่า เป็นผลสะท้อนมาจากการให้ความยุติธรรมในลักษณะ 2 มาตรฐาน ที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์และการตีสองหน้าของประเทศมหาอำนาจและข้าราชการที่มุ่งเอาแต่ประโยชน์ของกลุ่มและพรรคพวกของตนเอง คราบน้ำตาของผู้ที่ถูกข่มเหงและรังแกเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเชิญชวนให้ทำการเอาคืนจากการรังแกจากกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ และในบางกรณีการกระทำดังกล่าวก็เป็นผลจากกลุ่มผู้ที่ต้องการรักษาอำนาจของตนให้อยู่ในความคุ้มครองของตนตลอดไป จึงสร้างสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งมีวิธีการที่หลากหลายซับซ้อน และเรียกร้องความสนใจจากทางสังคมโดยที่เป็นการสร้างความรุนแรง ความน่ากลัว ตลอดจนความเกลียดชังให้เกิดขึ้น กับประชาชาติมุสลิมในพื้นที่ต่างๆ ดังนั้นรอยยิ้มและคราบน้ำตาของประชาชาติมุสลิมจึงถูกมองจากสังคมอื่นว่าเป็นกลุ่มที่ชอบใช้ความรุนแรงเพื่อตัดสินใจให้ได้มาซึ่งการเรียกร้องต่างๆ นา แต่สำหรับชนปาเลสไตน์ กลับถูกกระทำย่ำยีจากรัฐอิสราเอล ในการเรียกร้องสิทธิและความชอบชอบในดินแดนอันเป็นประวัติศาสตร์ยาวนานของชนชาติ โดยไม่สามารถเรียกร้องความช่วยเหลือต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้จากชาติมหาอำนาจเลย ทั้งๆ ที่ในปัจจุบัน ชาติหรือประเทศทั้งหลายต่างได้รับการคุ้มครองจากสหประชาชาติด้วยกันแทบทั้งสิ้น ดังนั้น จึงทำให้เห็นว่าประชาชาติมุสลิมที่เข้มแข็งจะถูกทดสอบจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ต่อกรณีการถูกกระทำจากประเทศมหาอำนาจที่มุ่งแสวงหาและกอบโกยผลประโยชน์ในดินแดนที่เขาต้องการครอบครอง เพื่อรักษาและกอบโกยผลประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สมบัติอันมีมูลค่ามากมายมหาศาลในดินแดนปาเลสไตน์ อิรัค และอัพกานิสถาน ซึ่งหากย้อนกลับมาดูชุมชนมุสลิมของประเทศไทย โดยเฉพาะชุมชนในแถบชายแดนใต้ ซึ่งสื่อสารมวลชนจะเสนอข่าวถึงความรุนแรง ความน่ากลัว โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เดือนรอมฎอนแล้ว ความไม่สงบจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นตามวิสัยของสื่อมวลชนที่ได้รับข่าวสารจากแหล่งข่าวในพื้นที่ ทั้งๆ ที่ในเดือนรอมฎอนแล้ว ศรัทธาชนมุสลิมต่างก็มุ่งมั่นประกอบศาสนกิจอันมีภาคผลมหาศาลรองรับอยู่นั้น คงไม่มีใครคิดอ่านที่จะทำการก่อการร้ายแต่อย่างใด เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงมิใช่มาจากกลุ่มมุสลิมผู้ศรัทธาและมุ่งแสวงหาความโปรดปราณจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) แต่อย่างใด ซึ่งการกระทำความผิดในพื้นที่นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมานั้น ส่วนหนึ่งมาจากความไม่ยุติธรรม หรือการแสวงหาผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มุ่งใส่ร้ายป้ายสีต่อมุสลิมผู้ศรัทธา และพยายามผลักดันให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นโจร ดังนั้น จากการที่มุสลิมได้ฝึกฝนตนเองตลอดเดือนรอมฎอนที่ผ่านมานั้น เราได้นำหลักคิด นำหลักปฏิบัติ ซึ่งมีพื้นฐานและเป้าหมายแห่งความยำเกรงต่อพระองค์มาปรับใช้ การเป็นภราดรภาพของมุสลิม การเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่มีความห่วงใยมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน คือสันติภาพและภราดรภาพอันจะทำให้สังคมเป็นสุข หยุดการรบราฆ่าฟันกันในทุกระดับ และสังคมโดยส่วนรวมจงแสวงหาและผลักดันให้เกิดความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย หาใช่การเลือกปฏิบัติทั้งในสังคมเล็กๆ ของประเทศ และนานาประเทศ ซึ่งแน่นอนว่า มุสลิมจะเป็นประชาชาติที่สร้างความสันติสุขให้เกิดขึ้นในแต่ละภูมิภาค
لآالآه الالله والله اكبر الله اكبر ولله الحمد الله اكبر الله اكبر الله اكبر
ท่านทั้งหลาย
สรรพสิ่งตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตประจำวันของเราทำให้เราได้รับความสะดวกสบายในแต่ละอย่างได้นั้น ล้วนมาจากพระองค์อัอลลอฮ์ (ซ.บ.) ทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ ที่เราได้รับนั้น แน่นอนว่าพระองค์ทรงให้โดยที่จุดมุ่งหมายของการให้ของพระองค์ เป็นการให้ที่มุ่งหมายการภักดี และความยำเกรงจากบ่าวทั้งหลาย การประกอบอิบาดัรจึงเป็นสิ่งซึ่งพระองค์ทรงรักยิ่งจากบ่าวของพระองค์ ขอได้พิจารณาโองการจากอัลกุรอ่าน Al-Qur'an, 003.171 (Aal-E-Imran [The Family of Imran]) ความว่า
003.171 يَسْتَبْشِرُونَ بِنِعْمَةٍ مِنَ اللَّهِ وَفَضْلٍ وَأَنَّ اللَّهَ لا يُضِيعُ أَجْرَ الْمُؤْمِنِينَ
003.171 They glory in the Grace and the bounty from Allah, and in the fact that Allah suffereth not the reward of the Faithful to be lost (in the least).
171. พวกเขาปิติยินดีต่อสิ่งอำนวยความสุขจากอัลลอฮ์ และความกรุณา(จากพระองค์)ด้วย และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงให้สูญหายซึ่งรางวัลของผู้ศรัทธาทั้งหลาย
ดังนั้น หากพิจารณาถึงการให้และการรับความอำนวยการสะดวกของมนุษย์แล้ว จะเห็นว่า ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ นั้น มีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันอกไป ตามแต่มนุษย์นั้น มุ่งหวังสิ่งใดเป็นการตอบแทน แน่นอนว่า โดยมารยาทแล้ว ฝ่ายผู้รับควรจะแสดงการขอบคุณต่อผู้ให้ สำหรับผู้ให้แล้ว สิ่งที่ได้ให้ออกไปนั้น คือความภูมิใจ ความปรารถนาดี แต่สำหรับพระองค์แล้ว การให้ของพระองค์ คือสิ่งที่เน้นย้ำให้เห็นว่าผู้ให้นั้น ต้องการให้ผู้รับนั้นมีจิตใตที่ดีงาม รู้จักการแสดงออกถึงการขอบคุณต่อพระองค์ในฐานะของการแสดงออกถึงความยำเกรงต่อพระองค์ ดังนั้น สำหรับพระองค์แล้ว การแสดงออกโดยการประกอบอามั้ลอิบาดัรต่อพระองค์ คือหัวใจสำคัญอย่างยิ่งของผู้ศรัทธา และแน่นอนว่า การดำรงตนอยู่ของมนุษย์ เป็นการดำรงอยู่ด้วยฐานะของผู้รับ ซึ่งการเป็นผู้รับที่ดีนั้น เราจึงต้องแสดงออกถึงมารยาทที่ดีด้วย จากการที่เราปฏิบัติกิจวัตรที่สำคัญตลอดเดือนรอมฎอนอันสำคัญยิ่งนี้ แน่นอนว่าเมื่อเราได้ตอบรับต่อความยำเกรงต่อพระองค์ด้วยการแสดงออกถึงการทำอิบาดัรต่อพระองค์ในเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา พระองค์จะทรงรับในการทำอิบาดัรของเราทั้งหมดที่ได้ปฏิบัติมา และพระองค์จะทรงตอบรับและตอบแทนในกิจวัตรของเราและการทำอามั้ลของเราอย่างครบถ้วน และสัญญาของพระองค์นั้นแน่นอนว่าในวันแห่งการตอบแทนแล้ว เราจะได้ประจักษ์ต่อผลงานของเราที่ได้ปฏิบัติมา
لآالآه الالله والله اكبر الله اكبر ولله الحمد الله اكبر الله اكبر الله اكبر
ท่านทั้งหลาย
รอมฎอนที่ผ่านพ้นมานี้ ทำให้เราทั้งหลายรักกันหรือยัง จากการที่เราตอบรับความยำเกรงต่อพระองค์ด้วยการถือศีลอดตลอดเดือนอันทรงเกียรตินี้ เป็นสิ่งที่ประจักษ์ต่อมวลมุสลิมแล้วว่า เราได้ปฏิบัติตนเช่นเดียวกัน ตลอดช่วงเวลาของการถือศีลอด เราได้ลิ้มรสชาติแห่งความหิวโหย ความกระหาย ความอยาก ซึ่งรสชาติของเรื่องต่างๆที่เราได้รับนี้ ทำให้เราได้รับทราบถึงสภาพจิตใจของคนอื่นๆ ได้เช่นกันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นแต่ละคนมีสภาพจิตใจอย่างไรในขณะนั้น เช่นนี้ สภาพของเราและเขาที่ได้รับสิ่งดังกล่าวนั้นไม่แตกต่างกัน ความเห็นอกเห็นใจระหว่างกันเป็นสิ่งที่ทำให้เรายอมรับสภาพความกดดันดังกล่าวได้เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ สายตาที่เรามองเพื่อนของเรานั้น ย่อมแตกต่างจากสายตาของบุคคลอื่นๆที่มิได้ห่วงหาอาทรระหว่างกัน เพราะสภาพและการพัฒนาด้านจิตใจที่แตกต่างกัน ผลจากการถือศีลอดของเรานั้น จึงทำให้เรารักเพื่อนมนุษย์ของเรามากขึ้น เรามีความอาทรระหว่างกัน ดังนั้น เพื่อมนุษย์ที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด คือญาติของเรา และสายสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งภราดรภาพมุสลิม นั้นคือสายสัมพันธ์ของระบบเครือญาติ วันนี้สัมพันธ์ดังกล่าวของเราแน่นหนาเพียงใด ขอให้เราทั้งหลายอย่าตัดสัมพันธ์กับเครือญาติ ขอให้เราใช้วันอีดิ้ลฟิตริและโอกาสเช่นนี้ ฟื้นสัมพันธ์กับเครือญาติของเราให้แน่นหนามากยิ่งขึ้น กระชับพื้นที่ของหัวใจไม่ให้มีช่องว่างแห่งความแตกแยกระหว่างกัน สัมพันธ์ที่ดีและความรักต่อพระองค์ผู้ทรงอภิบาลและตอบสนองความยำเกรงต่อพระองค์นั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ให้มากที่สุด จากโองการ Al-Qur'an, 003.103 (Aal-E-Imran [The Family of Imran]) ความว่า
003.103 وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلا تَفَرَّقُوا وَاذْكُرُوا نِعْمَةَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنْتُمْ أَعْدَاءً فَأَلَّفَ بَيْنَ قُلُوبِكُمْ فَأَصْبَحْتُمْ بِنِعْمَتِهِ إِخْوَانًا وَكُنْتُمْ عَلَى شَفَا حُفْرَةٍ مِنَ النَّارِ فَأَنْقَذَكُمْ مِنْهَا كَذَلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ لَكُمْ آيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ
003.103 And hold fast, all together, by the rope which Allah (stretches out for you), and be not divided among yourselves; and remember with gratitude Allah's favour on you; for ye were enemies and He joined your hearts in love, so that by His Grace, ye became brethren; and ye were on the brink of the pit of Fire, and He saved you from it. Thus doth Allah make His Signs clear to you: That ye may be guided.
103. และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก(หมายถึงศาสนาของอัลลอฮ์ )ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน(หมายถึงแตกแยกกันในการยึดถือสายเชือก(ศาสนา) ของอัลลอฮ์ โดยที่กลุ่มหนึ่งยึดถือโดยเคร่งครัด อีกหลายกลุ่มยึดถือบ้างไม่ยึดถือบ้าง เป็นต้น) และจำรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแต่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน(หมายถึงพวกเอาส์ และพวกค็อซร็อจญ์แห่งนครมะดีนะฮ์) แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วย ความเมตตาของพระองค์ และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก(คือการที่พวกเจ้าเคยใช้ชีวิตตามความใคร่ของตน และให้มีราคีขึ้นแด่อัลลอฮ์ ตลอดจนทำการสู้รบกันนั้นประหนึ่งว่าพวกเจ้ากำลังอยู่บนปากเหวแห่งนรกซึ่งใกล้จะตกอยู่แล้ว) แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระองค์ เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง
ดังนั้น ในวันนี้ จึงเป็นการดียิ่งที่เราทั้งหลายจะต้องหันหน้าเข้าหากัน ร่วมแสดงพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่แห่งอัลอิสลาม เป็นพลังแห่งสันติภาพและภราดรภาพอันยิ่งใหญ่ เพราะสังคมที่มีความรักกัน เห็นอกเห็นใจกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้นั้น การล่อลวงเพื่อสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งทียากลำบากยิ่ง ดังนั้น ขอให้เราทั้งหลายจงอยู่ร่วมกัน ให้อภัยกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน ปรับความเข้าใจกัน หันหน้าเข้าหากัน ฟื้นสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อที่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขกันอย่างถ้วนหน้า เราจึงต้องหมั่นไปมาหาสู่ ติดต่อระหว่างกัน ให้สลามและให้อภัยต่อกัน สอบถามสารทุกข์สุกดิบระหว่างกัน เช่นนี้แล้วสังคมมุสลิมของเราจะแนสังคมที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่สังคมของคนที่คิดเล็กคิดน้อย คอยแต่จะจับผิดระหว่างกัน จับกลุ่มเพื่อกล่าวหาและทะเล้ากัน สังคมอย่างนี้ ในที่สุดก็ไปไม่รอด และความร้าวฉานที่เกิดขึ้น จะเป็นผลให้แต่ละคนในสังคมนั้นไม่มีความสุขไม่น่าอยู่ในที่สุดแล้ว ความเป็นสังคมความมีภราดรภาพไม่เกิดขึ้น ในที่สุดสังคมนั้นจะล้มหายตายจากไป และไม่มีใครในสังคมนั้นเจริญรุ่งเรืองได้อีกต่อไป ขอฝากอัลฮาดีส ต่อไปนี้ ความว่า
A man from among those who were before you was called to account. Nothing in the way of good was found for him except that he used to have dealings with people and, being well-to-do, he would order his servants to let off the man in straitened circumstances [from repaying his debt]. He (the Prophet p.b.u.h) said that Allah said: We are worthier than you of that (of being so generous). Let him off. (Hadith Qudsi)
เพื่อย้ำเตือน พวกเราทั้งหลาย จงตระหนักถึงความสัมพันธ์ ความรักความปรารถนาดี ความมีน้ำใจไมตรี และการรักษาสัญญาที่มีต่อกันให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้ไม่ละเมิด และก่อสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน นั่นคือจุดมุ่งหมายที่สำคัญแห่งอามั้ลของการถือศีลอดที่เราทั้งหลายได้ผ่านการฝึกอบรมตลอดเดือนที่ผ่านมา และนั่นคือ ส่วนหนึ่งแห่งการแสดงออกถึงความยำเกรงต่อพระองค์

الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر الله اكبر
إِنَّ اللَّهَ وَمَلائِكَتَهُ يُصَلُّونَ عَلَى النَّبِيِّ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا صَلُّوا عَلَيْهِ وَسَلِّمُوا تَسْلِيمًا
رَبَّنَا آتِنَا فِي الدُّنْيَا حَسَنَةً وَفِي الآخِرَةِ حَسَنَةً وَقِنَا عَذَابَ النَّارِ
إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُ بِالْعَدْلِ وَالإحْسَانِ وَإِيتَاءِ ذِي الْقُرْبَى وَيَنْهَى عَنِ الْفَحْشَاءِ وَالْمُنْكَرِ وَالْبَغْيِ يَعِظُكُمْ لَعَلَّكُمْ تَذَكَّرُونَ
سُبْحَانَ رَبِّكَ رَبِّ الْعِزَّةِ عَمَّا يَصِفُونَ
وَسَلامٌ عَلَى الْمُرْسَلِينَ
وَالْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ
ว่าบิ้ลลาฮิเตาฟีก วั้ลฮิดายะห์
วัสสลาม
มูฮำหมัด สันประเสริฐ

อ้างอิง
Text Copied from DivineIslam's Qur'an Viewer software v2.9
อัลกุรอ่านฉบับภาษาไทย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ ดำเนินการจัดพิมพ์โดยกระทรวงกิจการฮัจย์ แห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาเบีย
http://www.alquran-thai.com/
อัลฮาดีซ : Hadith of The Day V 1.0 Freeware by FaridAnasri avater@muslimonline.com (www.beconvinced.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น